วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559

Perspectikz In Yunnan : ซงจ้านหลิน ... ด้วยความเคารพและศรัทธา


2/4/2016

วันนั้นท้องฟ้าที่แชงกรีล่าเป็นสีเทา

ตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้าก่อนเชคเอ้าท์จากที่พักแล้วไปวัดซงจ้านหลินหรือวัดโปตาลาน้อยสัก 9 โมง (วัดเปิด 8.30 น.) แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทุกวันในการเดินทางนั้น ถ้าไม่ต้องเปลี่ยนเมืองในช่วงเช้า เก้าโมงไม่เคยลุกจากเตียง ... เมืองไหนๆ ประเทศไหนๆ ก็เป็นแบบนี้ทุกที

จากที่พักไปยังป้ายรถเมล์ไม่ไกลนัก ... ถ้าไม่เดินอ้อม

แต่เรา ... เดินอ้อม (โธ่ถุย เพิ่งมารู้ตอนจะออกจาก dukezong old town ในตอนจะกลับว่ามันอ้อม)

แม้จะเป็นวันเสาร์ แต่เราจะเห็นเด็กๆในชุดนักเรียนเต็มไปหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าเรียนกันกี่วันต่อสัปดาห์

รถเมล์สาย 3 จากหน้าเมืองเก่าค่าบริการ 1 หยวน ส่งเรามาถึงด้านหลังของอาคารที่ทำการวัดซงจ้านหลิน (เดินอ้อมโลกอีกครั้งจนได้รู้ว่า มันก็อยู่ตรงที่ลงรถนั่นแหละ) นักท่องเที่ยวเสียค่าเข้าเป็นจำนวนเงิน 115 หยวน คนขายตั๋วคงไม่ค่อยเอนจอยกับความเงียบเหงาคนเดียวในอาคารใหญ่เท่าไรนักเลยนั่งเล่นโทรศัพท์ไม่แคร์กันเลย

รอบๆอาคารที่ทำการ กำลังสร้างช้อปปิ้งมอลล์สำหรับการซื้อของที่ระลึกอยู่

เพิ่งเคยได้ยินภาษาถิ่นแบบชัดๆจากการขึ้นรถบัสคันเล็กต่อไปยังวัด (รถผ่านชุมชน คนในชุมชนขึ้นได้) แปลกหูดี ส่วนตัวชอบคนท้องถิ่นในแชงกรีล่ามาก บอกไม่ถูกเหมือนกัน

กว่าจะไปถึงวัดซงจ้านหลินก็ปาไป 10 โมงกว่าแล้ว เรามีเวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงในวัดแห่งนี้ (ซึ่งมันน้อยไปหน่อย สัก 3-4 ชั่วโมงอย่างช้าๆคิดว่ากำลังดี) ค่าเข้า 115 หยวน ผ่านด่านแรกมาก็ขึ้นบัสต่อมาที่วัดแล้วผ่านด่านสอง หน้าตาเป็นนักท่องเที่ยวขนาดนี้ทุกคนไม่ควรพูดภาษาจีนและภาษาถิ่นกับอิชั้นเลยเจ้าค่ะคุณพี่ T^T


ในวัดมีอารามต่างๆจำนวนมาก สามารถดูแผนที่ได้ตรงทางขึ้นบันไดเมื่อเข้าไปแล้ว

บันไดที่พาขึ้นไปสู่วัด ไม่ได้สูงอย่างที่คิดไว้ นึกว่าจะสูงกว่านี้ซะอีก แต่ก็เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเรื่องอากาศเบาบางในที่สูง ไม่ได้มีอาการชัดเจนอะไรนักหรอก แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินถึงจะเวลาน้อยและรีบแต่ก็ยังไม่อยากขาดอากาศหายใจตายในต่างแดน การเดินอย่างเชื่องช้าและหายใจลึกๆ นั่งพักบ่อยๆช่วยได้มากโดยไม่ต้องพึ่งพาออกซิเจนกระป๋อง (ซึ่งก็ไม่ได้ซื้อติดตัวไว้หรอก)

ระหว่างทางเดินขึ้นไปสู่ด้านบนซึ่งเป็นฮอลใหญ่ จะมี ... เอิ่ม ควรจะเรียกว่าอะไรดีอ่ะ ไม่รู้จริงๆแหละ เทียบกับคำไทยน่าจะคงประมาณอารามสาขาอะไรแบบนี้ ด้านซ้ายขวา ลองเข้าไปอารามที่ชื่อว่า Gro Khamtsen ด้านขวาดู ลามะที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใสมาก หลายรูปแอบยิ้มให้ตลอดทาง


พาโนรามาจากจุดหนึ่งก่อนถึงอารามใหญ่


ตะเกียกตะกายดาวเพื่อเดินขึ้นไปที่อารามใหญ่ด้านบน


ด้านบนมีอารามใหญ่อยู่หลายหลัง ด้วยเวลาที่จำกัดไม่สามารถเข้าได้ทั้งหมด เราเดินเข้าไปทีละอารามจากด้านซ้ายไปขวาเท่าที่พอจะทำได้ ความอยากรู้อยากเห็นในสถานที่มีมากกว่าที่คิดไว้ซะอีก ชอบการเดินทางเพราะแบบนี้

เข้าไปในอารามด้านซ้ายสุดก่อน หลังจากทำเคารพสิ่งศักดิ์สิทธ์ภายในแล้วลามะรูปหนึ่งชี้ว่าให้มาเอาลูกประคำไปสิ (พูดคุยกันเป็นภาษามือ) เข้าไปพนมมือต่อหน้าลามะอีกรูปที่กำลังสวดมนต์อยู่ โขกแท่งยันต์มาที่หัวหนึ่งทีแล้วใส่ลูกประคำเข้ามาในข้อมือให้ การทำบุญนั้นก็ตามศรัทธาวางไว้ด้านข้างของลามะท่านได้เลย มีเชิงเทียนเพื่อให้จุดเทียนบูชา เดินวนขวา ทำบุญตามศรัทธาเช่นกัน

อารามถัดมาเป็นฮอลใหญ่ เป็นช่วงฉันเพลพอดี ลามะนั่งเรียงรายกันสวดมนต์ก่อนการฉันเพล แต่ในอารามไม่ได้ปิดนะคะ ก็เปิดให้เข้าไปเนี่ยแหละ แล้วเดินวนขวารอบอาราม ทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วเดินออกมา

ภาพหลังจากฉันเพลเสร็จแล้ว ลามะทุกรูปก็กลับไปยังที่อารามของตัวเอง


ภายในทุกๆอารามนั้น เค้าห้ามถ่ายรูปด้วยความเชื่อทางศาสนาของเค้าว่าการถ่ายรูปจะนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นกลับบ้านไปด้วย กระนั้นก็ยังเห็นบางคนแอบถ่ายซึ่งเป็นมนุษย์ป้าจีนเนี่ยแหละ ในส่วนของความคิดเห็นส่วนตัว เราว่าด้านในก็ไม่มีความจำเป็นต้องถ่ายกลับมาหรอก เพราะค่อนข้างมืด ไหนๆเข้าวัดเข้าวาแล้วใช้เวลาสำหรับการสงบจิตสงบใจ ให้ความเคารพกับสถานที่ เรียนรู้วัฒนธรรมและศรัทธาความเชื่อของเค้าเถอะ แฮปปี้กว่าเยอะเลยนะ

ในอารามถัดมาจากอารามใหญ่สุด ด้านในมีลามะหลายรูปนั่งเรียงกันอยู่ มีการให้พรหลายรูปแบบมากซึ่งเราไม่ได้ลองสักแบบ เห็นว่าก็ได้ลูกประคำมาแล้วคงไม่ต้องหรอกมั้ง สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในแล้วก็เดินวนขวาออกมา
 

เห็นเค้าต่อแถวหมุนกันเลยลองไปต่อดูบ้าง หมุนกันคนละ 3 รอบได้ ก็คงเหมือนสวดมนต์สามจบมั้ง


เพราะต้องไปลี่เจียงเพื่อต่อรถไฟกลับคุนหมิงตอนบ่ายสอง เวลาที่อยู่ในวัดเลยค่อนข้างมีน้อย ประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆได้ ก็ต้องออกมาแล้ว เก็บภาพอีกนิดหน่อยระหว่างเดินลงมา (อย่างช้าๆ เดี๋ยวเป็นลม)



ถึงเวลากล่าวอำลาที่นี่แล้ว เสียดายจริงๆถ้ามีเวลามากกว่านี้(บริหารเวลาไม่ดีเอง เอาแต่นอน) จะเข้าทุกอารามเลย ใช้ชีวิตอย่างช้าๆไปพร้อมกับความศรัทธาของคนที่นี่ คงมีโอกาสได้เรียนรู้อะไรๆมากขึ้นอีกแน่นอน

มีลางสังหรณ์ในใจว่าสักวันหนึ่งจะกลับมาที่แชงกรีล่าอีก ...